เรียน GMAT




SmartMathsTutor กิ๊ก
          นักพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์, I.Q., วิทยากรอิสระ, ติวเตอร์ รับบรรยาย ฝึกอบรม, ติว, สอนคณิตศาสตร์ผ่านโจทย์เชาวน์คณิต (GMAT, GRE), โจทย์คิดเลขเร็ว, โจทย์ปัญหาเชาวน์, โจทย์พัฒนา I.Q.,  เกมปริศนา หรือ โจทย์พัฒนาศักยภาพบุคลากรระดับผู้บริหารในองค์กรทุกประเภท เพื่อพัฒนาวิธีเรียนรู้ และ วิธีคิดวิเคราะห์ ให้ผู้เรียนมีองค์ความรู้ของตนเอง, มีตรรกะเชิงจินตนาการในการคิด, มี mind map ในการจดจำ, คิดวิเคราะห์ได้อย่างเป็นระบบ, มีความคิดรวบยอดในการแก้ปัญหา, เข้าใจปัญหาได้ตรงประเด็น และ แก้ปัญหาอย่างมีจินตนาการสร้างสรรค์นอกกรอบ เพราะ "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้" และ "ความคิดสร้างสรรค์ เป็นพรสวรรค์ที่พัฒนาได้"

สอนให้เก่ง   เน้นเข้าใจ   ไม่ใช่ท่องจำ   เพื่อทำข้อสอบได้ 
Smart                       Fast                     Correct
ชาญฉลาด - ตีโจทย์เป็นภาพ    เร็ว - ไม่เกิน  30 วินาที    ถูกต้อง - เข้าใจตรงกัน
ไม่รับจ้างทำข้อสอบใดๆทั้งสิ้น
ครูกิ๊ก (SmartMathsTutor)
          รับติว GMAT, GRE, SAT ข้อสอบภาษาอังกฤษตามวันเวลาที่ผู้เรียนสะดวก  โดยผู้เรียนต้องตั้งใจเรียนรู้ด้วยตัวเอง     ครูกิ๊กเป็นเพียงติวเตอร์ที่จะแนะแนววิธีการดีๆ (Smart, Fast, Correct ดูด้านล่าง) ที่ช่วยให้ผู้เรียนทำโจทย์ได้ถูกต้องและเร็วขึ้นเท่านั้น  จำนวนชั่วโมงติวจึงขึ้นอยู่กับพื้นฐานของผู้เรียน   
ทดลองเรียน 1 ข้อ  เพื่อพิสูจน์
            ผู้เรียนสามารถนำโจทย์ที่สงสัยมาสอบถามครูกิ๊ก  เพื่อดูว่าวิธีที่สอนนั้นดีหรือไม่อย่างไร   เพราะทราบดีว่าผู้เรียนต้องการผลสำเร็จ  จึงไม่อยากให้ผู้เรียนผิดหวัง  ลงทุนแล้วต้องสอบได้คะแนนสูงที่สุด
          ติดต่อครูกิ๊กทางมือถือ  082-558-1100  หรือไลน์ (Line ID : SmartMathsTutor)





คำติ-ชม
(ดูภาพขยาย...คลิกรูป)

ติวGMAT


พี่เปิด course GMAT 90 ข้อ trick เด็ด สำหรับสอนน้องที่ต้องการสอบได้คะแนนสูง เคยสอบได้คะแนน 44/60 ขึ้นไป หรือ เป็นเด็กหัวดี ก็มาเรียนได้เลยครับ สอบถาม Line : SmartMathsTutor
สอน 6 ชั่วโมงเท่านั้น (เลือกสอนเฉพาะข้อ trick เด็ด, ข้อที่คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ ฯลฯ)

พี่ทำโจทย์ไปแล้ว เฉพาะในหนังสือ GMAT Official Guide หลายปีรวมกัน (ไม่รวมสำนักพิมพ์อื่น, โจทย์บนเว็บไซต์ และ ในแอพที่ซื้อนะครับ) ไม่นับข้อซ้ำ มากกว่า 1,300 ข้อครับ


กำลังสอน GMAT course 90 ข้อ trick เด็ด...ให้น้องสองคน เรียนพร้อมกัน ทั้งสองคนเคยสอบได้ 46/60 และ 44/60
เรียนสนุกมาก get ขึ้นเยอะ ได้เทคนิคไป...ทำได้เร็วขึ้นมาก
ในเวลา 1 ชั่วโมงสอนได้ 15 - 20 ข้อ (สอนเฉพาะข้อยากนะ)
ลักษณะโจทย์ที่มีปัญหา คือ
(1) Prove Pattern,
(2) จับประเด็นปัญหา,
(3) ขุดสมการ,
(4) Backward Thinking,
และ ....... (5) ข้อหลอกให้งง

วิธีเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย, เทคนิควิธีอ่านหนังสือทบทวน, เตรียมความพร้อมสอบเข้ามหาวิทยาลัยอย่างไร ถึงจะเรียกได้ว่าเตรียมตัวเต็มที่, เทคนิคการอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย, หมดอนาคต...หากไม่เตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย

วิธีพัฒนาตัวเอง บทความน่าอ่าน
1.1
(Update 27/04/54)
พี่ได้รับอีเมล์จากน้องคนหนึ่ง เขียนมาปรึกษาเกี่ยวกับการเตรียมตัวสอบดังต่อไปนี้ครับ
สวัสดีค่ะ
พอดีว่าเป็นคนหนึ่งที่กำลังจะแอดปี55นี้ค่ะ
ตอนนี้ไม่ไหวแล้วค่ะ
ห้ามใจตัวเองไม่ได้จริง ๆ ค่ะ
ขี้เกียจมากก
พี่ๆ มีวิธีการจัดการตัวเองยังไง ห้ามใจให้ตัวเองอ่านหนังสือ
โดยเฉพาะ วิชาที่ไม่ถนัด ๆ อย่างเราก็ไม่ชอบเลขเอามาก ๆ
ควรทำไงดีคะ
 
ตอนนี้ก็ยังไม่ได้เริ่มอ่านหนังสืออย่างจิงจังเลยค่ะ (T-T)
พยายามทำใจ  แต่ก็ไม่ได้สักที
พอเสร็จจากเรียนหนังสือปุ๊บ
กลับมาบ้านเห็นโน้ตบุ๊ควางที่โต๊ะก็กดเปิดเฟสเลยค่ะ T-T



หมดอนาคต...หากไม่เตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย

จากคำถามข้างต้น พี่แนะนำว่า ให้เริ่มอ่านหนังสือวิชาที่เราชอบก่อน ก่อนสอบพี่จะอ่านหนังสือวิชาที่ชอบเรียน อยากรู้หรือสนใจก่อนครับ ไม่จำเป็นต้องเป็นวิชาที่เราเก่งหรือเรียนเข้าใจอยู่แล้ว สำหรับพี่วิชาที่ชอบนั้นคือ วิชาชีววิทยา ที่แนะนำอย่างนี้เพราะว่ากระบวนการเรียนรู้ของคนเราจะเริ่มจากสิ่งที่ชอบก่อนเสมอ เริ่มจากความสุขของเราก่อนเสมอครับ เมื่อเราชอบเราก็จะมีความพยายาม การอ่านหนังสือวิชาที่เราชอบก่อน ทำให้เราสนใจ และหมั่นที่จะเรียนรู้ ศึกษาเพื่อเข้าใจ เรียนเพื่อให้ตัวเรามีความรู้ ไม่ใช่เรียนเพื่อสอบผ่านได้คะแนนพอสอบเสร็จก็ทิ้งทันที หลังจากนั้นให้ลองทำโจทย์ข้อสอบเก่าวิชาที่เราถนัดและมั่นใจว่าทำข้อสอบได้คะแนนสูงสุด เมื่อเรารู้ว่าเราทำได้กี่คะแนน เราก็จะมีเป้าหมายที่จะสอบเข้าเรียนต่อคณะที่เราต้องการได้ และ ทำให้เราขยันอ่านวิชาอื่นได้อีกด้วยครับ เช่น น้องเป็นคนชอบเรียนภาษาอังกฤษแต่อยากเข้าเรียนต่อในคณะทันตะแพทย์ ก็ควรอ่านหนังสือภาษาอังกฤษไปก่อน พอเริ่มมีความสุขจากการอ่าน น้องก็หยิบข้อสอบเก่าขึ้นมาทำ ถ้าเราทำข้อสอบภาษาอังกฤษแล้วพบว่าเราได้คะแนนอยู่ในระดับ 80 % ทำให้เราสามารถตั้งเป้าหมายได้ว่า คณะทันตะแพทย์ศาสตร์ต้องได้คะแนนวิชาคณิตศาสตร์, วิชาวิทยาศาสตร์ 60% และ 80% ขึ้นไปถึงจะสอบเข้าคณะทันตะแพทย์ได้ น้องก็จะมีเป้าหมาย มีกำลังใจ มีความพยายามในการอ่านหนังสือวิชาอื่นๆเพิ่มขึ้นครับ

สำหรับโปรแกรม Social Network พี่ขอให้งดเปิดโปรแกรมเหล่านี้ครับ และตั้งใจอ่านหนังสือสอบอย่างเดียวจะดีที่สุด ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่ไม่คุยกับเพื่อนไร้สาระ เราก็เหมือนได้ช่วยเพื่อนทางอ้อมไม่ให้เพื่อนเขียนเรื่องไร้สาระเช่นกัน และวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง คือ แทนที่เราจะมาพูดคุยกันผ่านโปรแกรมเหล่านี้  สู้นัดเพื่อนๆมาติวหนังสือกันที่บ้านจะดีกว่าครับ

ถามว่า ควรเริ่มอ่านหนังสือเมื่อไร
หากน้องตอบว่า เริ่มอ่านพรุ่งนี้
พี่ขอบอกว่า แค่น้องคิดผัดเวลา (ผัดวันประกันพรุ่ง) น้องก็ช้ากว่าคนอื่นแล้วครับ เพราะ แค่ความคิดของน้อง น้องก็คิดตัดสินใจลงมือทำช้ากว่าคนอื่นเขาแล้ว  คนอื่นเขาไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ เพราะเมื่อคนอื่นยังเดินอยู่  การที่น้องผัดวันประกันพรุ่งเท่ากับน้องเดินถอยหลังเชียวนะครับ หากการอ่านหนังสือหรือการพัฒนาตนเองเปรียบเหมือนการวิ่งแข่ง (จริงๆแล้วแข่งกับตัวเอง แต่สามารถมองดูคนรอบข้างได้)  แค่เราหยุดวิ่งแต่คนอื่นยังวิ่งอยู่ -คนอื่นเขายังอ่านหนังสือพัฒนาตัวเขาอยู่- เราก็ล้าหลังอยู่อันดับหลังสุดแล้วนะครับ ดังนั้นทางที่ดี คือ ควรเริ่มอ่านหนังสือทันทีที่นึกได้ เพราะนั่นเป็น "การพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา"

ฝากอีกนิดครับ มีคำคมของนักปราชญ์ท่านหนึ่ง กล่าวไว้ว่า แค่เราตื่นสาย 1 ชม.ก็เท่ากับเสียเวลาทำงานไป 3 ชม.แล้วครับ

วิธีอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัย
จากประสบการณ์ของพี่ และ เพื่อนๆ


อันดับแรก พี่จะทำข้อสอบเก่าดูก่อนสัก 3 ชุดข้อสอบ เพื่อดูว่าเรามีพื้นฐานแค่ไหน ทำได้บ้างหรือเปล่า ข้อไหนทำไม่ได้ก็ข้ามไป ข้อไหนที่พอทำได้ก็ทำไปก่อน  ทำโจทย์แบบชิวชิว ไม่ต้องซีเรียส  ทำได้ทำไม่ได้เป็นอีกเรื่องหนึ่งเพราะเรายังไม่ได้เข้าสอบจริงๆ สิ่งสำคัญ คือ อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ เพราะข้อที่เราทำไม่ได้เปรียบเสมือนเป็นครูของเรา ดังสุภาษิตที่กล่าวว่า “ผิดเป็นครู” และเมื่อทำโจทย์ครบแล้ว เราจะรู้ว่าโจทย์ข้อไหนหรือบทเรียนไหนที่เราทำไม่ได้  ไม่เข้าใจ  ให้เราโน้ตเอาไว้ เพื่อวางแผนเตรียมตัวทบทวน หรือ จัดเวลาเรียน จัดเวลาติวได้ครับ

ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของการทำข้อสอบเก่า  คือ  เราจะทราบขอบเขตเนื้อหาและแนวข้อสอบ ว่ายากง่ายอย่างไรบ้าง พี่พบว่าในบทหนึ่งๆจะมีข้อยากเพียง 1 ข้อจากทั้งหมด 3 ข้อ และในข้อสอบทั้งหมดจะมีข้อยากระดับปราบเทพไม่ให้ได้คะแนนเต็มไม่เกิน  5 ข้อจาก 50 ข้อครับ

ต่อมาจึงเริ่มอ่านทบทวนบทเรียน  โดยเริ่มทบทวนเนื้อหาที่เราชอบก่อน  พร้อมทั้งทำสรุปสูตรหรือโน้ตย่อของตนเองด้วยครับ  ตัวอย่างเช่น พี่ชอบวิชาชีววิทยา สนใจเรื่องระบบต่างๆของร่างกาย  หัวใจ กล้ามเนื้อ สมอง ฯลฯ พี่ก็จะอ่านทบทวนก่อน เพื่อย้ำความเข้าใจเป็นการประกันว่าเราทำข้อสอบบทนี้ได้ 100%  ต่อมาจึงอ่านเนื้อหาของ ม. 6 ครับ เพราะนอกจากจะเป็นการยิงนกนัดเดียวได้นก 2 ตัวแล้ว คือ อ่านเพื่อคะแนนสอบที่โรงเรียนและอ่านเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย พี่ยังพบว่า เนื้อหาของระดับชั้น ม. 6 อาจารย์ผู้ออกข้อสอบนำมาออกข้อสอบมากกว่าระดับชั้นอื่นๆแทบทุกวิชา

สุดท้ายพี่จะกลับไปทำข้อสอบซ้ำอีกครั้ง  เพื่อประเมินว่า เราเข้าใจและทำข้อสอบได้คะแนนเพิ่มขึ้นไหม และหลังจากที่เราเข้าใจขึ้นมีความ มั่นใจขึ้นแล้ว พี่จะทำโจทย์ข้อสอบเก่าชุดใหม่อย่างต่ำอีก 3 ชุด โดยทำข้อสอบเหมือนเข้าสอบจริง  คือ จับเวลาในการทำข้อสอบด้วย  ครับ ทำให้เรารู้ว่า เราทำข้อสอบทันเวลาไหม  เสร็จแล้วลองตรวจคำตอบดูด้วยครับว่าเราทำได้กี่คะแนน ถ้าข้อไหนคิดไม่ได้หรือทำผิดก็เปิดเฉลยทบทวนดูครับ  ส่วนเรื่องผลสอบของเราก็จะไม่เกิน +10% หรือ –10% จากคะแนนที่เคยได้เป็นแน่เลย

และ 2 สัปดาห์ก่อนสอบวิชานั้นๆ พี่จะหยิบข้อสอบที่เคยทำไปแล้วทั้งหมดมาทำซ้ำอีกครั้งครับ และอ่านโน้ตที่เราย่อไว้ เพื่อกันไม่ให้ลืม เพียงเท่านี้น้องๆก็คงได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 80 % แล้วครับ

เทคนิคการทำโจทย์ข้อสอบ
เมื่อน้องได้รับข้อสอบ รีบตรวจข้อสอบว่า ข้อสอบมีความถูกต้องไหม  หลังจากนั้น รีบพลิกข้อสอบหาข้อที่เรามั่นใจว่าเราทำได้ก่อน  หากข้อสอบมีทั้งแบบอัตนัย (เติมคำ) และปรนัย (Choice – ตัวเลือก) พี่แนะนำให้ทำข้อสอบแบบปรนัยก่อนในเรื่องที่เราถนัด แม้ว่าข้อสอบปรนัยจะค่อนข้างยากกว่าข้อสอบแบบอัตนัย แต่ถ้าเราทำข้อนั้นได้ หาคำตอบได้ตรง choice ก็ทำให้เรามีกำลังใจมั่นใจที่จะทำข้ออื่นๆได้ต่อไปครับ

            สิ่งสำคัญ คือ กำลังใจในระหว่างทำข้อสอบ  เพราะเมื่อเรารู้ว่าเราทำข้อสอบได้ เราจะมีกำลังใจมั่นใจขึ้นว่าเราก็ต้องทำข้ออื่นๆได้เช่นกัน แล้วความเพียรพยายามในการอ่านหนังสือที่น้องสะสมไว้ในอดีตจะส่งผลให้ น้องคิดนึกวิธีแก้ปัญหาโจทย์แต่ละข้อได้  อย่าท้อแท้จนหลับขณะสอบ พยายามคิด พยายามทำ พยายามลุย แล้วน้องก็จะแก้ปัญหาหาคำตอบได้ครับ


สุดท้าย ให้น้องนับจำนวนข้อสอบที่เราตอบถูกได้ชัวร์ แล้วคำนวณว่าเราจะได้คะแนนอย่างต่ำที่สุดกี่คะแนน ส่วนข้อที่เหลือควรกลับไปพยายามทำอีกครั้ง โดยพยายามคิด พยายามเขียน วาดรูป ตั้งสมการ ฯลฯ ให้ได้บ้าง  แม้ว่ามันจะยังทำให้น้องไม่ได้ผลลัพธ์ แต่เดี๋ยวอีกสักพักน้องอาจจะนึกวิธีแก้ปัญหาขึ้นมาและได้คำตอบที่ตรงกับตัวเลือก (choice) ก็เป็นได้ แต่หากยังหาคำตอบไม่ได้  น้องพยายามจนถึงที่สุดแล้ว เหลือเวลาอีก 15 นาทีจะหมดเวลาสอบ ให้น้องมองที่ตัวเลือก พยายามตัดตัวเลือกที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ออก เช่น น้องคิดได้แล้วว่า ข้อ ก และข้อ ข ไม่ใช่คำตอบแน่ๆ ให้เลือกคำตอบเป็นข้อ ค หรือ ง แทนครับ น้องก็จะพบว่า โอกาสที่จะตอบถูกยังเป็น 50:50 ครับ อย่างน้อยน้องคงได้คะแนนเพิ่มขึ้นจากคะแนนขั้นต่ำที่ได้คำนวณไว้ครับ

สรุปว่า น้องๆควรทำข้อสอบเก่า 6 – 10 ชุด ชุดละ 3 รอบ จึงจะทำข้อสอบได้คะแนนมากกว่า 80% อย่างแน่นอนครับ

ผู้เขียน
: SmartMathsTutor - กิ๊ก (เพื่อนักเรียนมัธยม)

ท้ายสุดพี่มีข้อคิดมาฝากน้องๆครับว่า มีจุดเริ่มต้น คือ เริ่มเรียนรู้ ก็ย่อมมีจุดสำเร็จ คือ การเป็นคนเก่งเป็นของธรรมดา ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
และ  “ไม่มีคำว่าสาย สำหรับคนที่อยากเก่ง
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

COMMENT เดิม



---------------------------------------------------------



คำคม
ก้าวไปสู่จุดที่สูงขึ้น
ผู้ประสบความสำเร็จจะต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา พวกเขาไม่คิดว่าการเปลี่ยนแปลงหรือการก้าวไปข้างหน้า คือ ความเสี่ยงอันยิ่งใหญ่ของเขา เพราะความเสี่ยงอันใหญ่หลวงที่สุดของพวกเขา คือ การหยุดนิ่งอยู่กับที่
Growing to new heights
Successful entrepreneurs are in motion. They don’t consider change or moving ahead as their greatest risk. Their biggest risk is to stand still.
การหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่ใช่วิถีชีวิตของมนุษย์ คนเราเกิดมาต้องมีการพัฒนา ฝึกฝนตนเองสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เช่น จากคลานได้ ก็เป็นเดินเป็นวิ่งได้ จากเดินและวิ่งได้ ก็มาหัดขี่จักรยาน หัดขับรถ เช่นเดียวกับการมีความรู้ติดตัว จากไม่มีความรู้และประสบการณ์ ก็มาเรียนรู้และศึกษา ถ้าคนในชาติรู้จักพัฒนาตนเองสม่ำเสมอ  ชาติบ้านเมืองก็จะเจริญรุ่งเรือง

กำลังใจในการเรียนและการทำงาน
บินสูงจากพื้นดิน
     คำถาม : เครื่องบินจะเผาผลาญเชื้อเพลิงมากที่สุดเมื่อใด
     คำตอบ : ขณะที่เครื่องบินแล่นบนลานบินเพื่อยกตัวเองขึ้นสู่ท้องฟ้า ซึ่งเป็นเวลาที่เคลื่อนที่ช้าที่สุด ทันทีที่เครื่องบินตั้งลำและทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก็จะมีความเร็วสูงขึ้นในขณะที่ใช้เชื้อเพลิงลดลง ดังนั้น ในช่วงที่เครื่องบินแล่นบนลานก่อนจะขึ้นจึงมีผลกระทบต่อพลังงานมากที่สุด (และแน่นอนถ้าเครื่องบินไม่แล่นบนลานบินก่อนก็จะไม่สามารถทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าได้เช่นกัน)
เปรียบเทียบกับการเรียนและการทำงาน  น้องจะพบว่าช่วงเริ่มต้นของการเรียน เราเหนื่อยและลำบากมาก  นึกถึงสมัยเรียนชั้นประถม  น้องต้องฝึกคัดลายมือเขียนตัวอักษร  ก-ฮ  ให้สวยๆ   ต้องท่องสูตรคูณ แต่พอได้ฝึกฝนบ่อยๆ น้องก็จะชำนาญ   และเมื่อต้องเขียนข้อความก็สามารถเขียนได้สวยงาม รวดเร็ว หรือ เมื่อเจอโจทย์เลขที่ต้องคูณ   น้องก็สามารถคูณได้ทันทีโดยไม่ต้องไล่ท่องสูตรคูณตั้งแต่ต้น
ที่มา : ข้อความบางส่วนจาก ==> http://www.amwayshopping.com/ffe/contentPage?pageKey=amway.ffe.story.tale&contentId=1388&page=27 
คำอธิบายเพิ่มเติม :  ติวเตอร์กิ๊ก







วิธีพัฒนาตัวเอง บทความน่าอ่าน
1.1
(Update 27/04/54)
พี่ได้รับอีเมล์จากน้องคนหนึ่ง เขียนมาปรึกษาเกี่ยวกับการเตรียมตัวสอบดังต่อไปนี้ครับ
สวัสดีค่ะ
พอดีว่าเป็นคนหนึ่งที่กำลังจะแอดปี55นี้ค่ะ
ตอนนี้ไม่ไหวแล้วค่ะ
ห้ามใจตัวเองไม่ได้จริง ๆ ค่ะ
ขี้เกียจมากก
พี่ๆ มีวิธีการจัดการตัวเองยังไง ห้ามใจให้ตัวเองอ่านหนังสือ
โดยเฉพาะ วิชาที่ไม่ถนัด ๆ อย่างเราก็ไม่ชอบเลขเอามาก ๆ
ควรทำไงดีคะ
 
ตอนนี้ก็ยังไม่ได้เริ่มอ่านหนังสืออย่างจิงจังเลยค่ะ (T-T)
พยายามทำใจ  แต่ก็ไม่ได้สักที
พอเสร็จจากเรียนหนังสือปุ๊บ
กลับมาบ้านเห็นโน้ตบุ๊ควางที่โต๊ะก็กดเปิดเฟสเลยค่ะ T-T



หมดอนาคต...หากไม่เตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย

จากคำถามข้างต้น พี่แนะนำว่า ให้เริ่มอ่านหนังสือวิชาที่เราชอบก่อน ก่อนสอบพี่จะอ่านหนังสือวิชาที่ชอบเรียน อยากรู้หรือสนใจก่อนครับ ไม่จำเป็นต้องเป็นวิชาที่เราเก่งหรือเรียนเข้าใจอยู่แล้ว สำหรับพี่วิชาที่ชอบนั้นคือ วิชาชีววิทยา ที่แนะนำอย่างนี้เพราะว่ากระบวนการเรียนรู้ของคนเราจะเริ่มจากสิ่งที่ชอบก่อนเสมอ เริ่มจากความสุขของเราก่อนเสมอครับ เมื่อเราชอบเราก็จะมีความพยายาม การอ่านหนังสือวิชาที่เราชอบก่อน ทำให้เราสนใจ และหมั่นที่จะเรียนรู้ ศึกษาเพื่อเข้าใจ เรียนเพื่อให้ตัวเรามีความรู้ ไม่ใช่เรียนเพื่อสอบผ่านได้คะแนนพอสอบเสร็จก็ทิ้งทันที หลังจากนั้นให้ลองทำโจทย์ข้อสอบเก่าวิชาที่เราถนัดและมั่นใจว่าทำข้อสอบได้คะแนนสูงสุด เมื่อเรารู้ว่าเราทำได้กี่คะแนน เราก็จะมีเป้าหมายที่จะสอบเข้าเรียนต่อคณะที่เราต้องการได้ และ ทำให้เราขยันอ่านวิชาอื่นได้อีกด้วยครับ เช่น น้องเป็นคนชอบเรียนภาษาอังกฤษแต่อยากเข้าเรียนต่อในคณะทันตะแพทย์ ก็ควรอ่านหนังสือภาษาอังกฤษไปก่อน พอเริ่มมีความสุขจากการอ่าน น้องก็หยิบข้อสอบเก่าขึ้นมาทำ ถ้าเราทำข้อสอบภาษาอังกฤษแล้วพบว่าเราได้คะแนนอยู่ในระดับ 80 % ทำให้เราสามารถตั้งเป้าหมายได้ว่า คณะทันตะแพทย์ศาสตร์ต้องได้คะแนนวิชาคณิตศาสตร์, วิชาวิทยาศาสตร์ 60% และ 80% ขึ้นไปถึงจะสอบเข้าคณะทันตะแพทย์ได้ น้องก็จะมีเป้าหมาย มีกำลังใจ มีความพยายามในการอ่านหนังสือวิชาอื่นๆเพิ่มขึ้นครับ

สำหรับโปรแกรม Social Network พี่ขอให้งดเปิดโปรแกรมเหล่านี้ครับ และตั้งใจอ่านหนังสือสอบอย่างเดียวจะดีที่สุด ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่ไม่คุยกับเพื่อนไร้สาระ เราก็เหมือนได้ช่วยเพื่อนทางอ้อมไม่ให้เพื่อนเขียนเรื่องไร้สาระเช่นกัน และวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง คือ แทนที่เราจะมาพูดคุยกันผ่านโปรแกรมเหล่านี้  สู้นัดเพื่อนๆมาติวหนังสือกันที่บ้านจะดีกว่าครับ

ถามว่า ควรเริ่มอ่านหนังสือเมื่อไร
หากน้องตอบว่า เริ่มอ่านพรุ่งนี้
พี่ขอบอกว่า แค่น้องคิดผัดเวลา (ผัดวันประกันพรุ่ง) น้องก็ช้ากว่าคนอื่นแล้วครับ เพราะ แค่ความคิดของน้อง น้องก็คิดตัดสินใจลงมือทำช้ากว่าคนอื่นเขาแล้ว  คนอื่นเขาไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ เพราะเมื่อคนอื่นยังเดินอยู่  การที่น้องผัดวันประกันพรุ่งเท่ากับน้องเดินถอยหลังเชียวนะครับ หากการอ่านหนังสือหรือการพัฒนาตนเองเปรียบเหมือนการวิ่งแข่ง (จริงๆแล้วแข่งกับตัวเอง แต่สามารถมองดูคนรอบข้างได้)  แค่เราหยุดวิ่งแต่คนอื่นยังวิ่งอยู่ -คนอื่นเขายังอ่านหนังสือพัฒนาตัวเขาอยู่- เราก็ล้าหลังอยู่อันดับหลังสุดแล้วนะครับ ดังนั้นทางที่ดี คือ ควรเริ่มอ่านหนังสือทันทีที่นึกได้ เพราะนั่นเป็น "การพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา"

ฝากอีกนิดครับ มีคำคมของนักปราชญ์ท่านหนึ่ง กล่าวไว้ว่า แค่เราตื่นสาย 1 ชม.ก็เท่ากับเสียเวลาทำงานไป 3 ชม.แล้วครับ

วิธีอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัย
จากประสบการณ์ของพี่ และ เพื่อนๆ


อันดับแรก พี่จะทำข้อสอบเก่าดูก่อนสัก 3 ชุดข้อสอบ เพื่อดูว่าเรามีพื้นฐานแค่ไหน ทำได้บ้างหรือเปล่า ข้อไหนทำไม่ได้ก็ข้ามไป ข้อไหนที่พอทำได้ก็ทำไปก่อน  ทำโจทย์แบบชิวชิว ไม่ต้องซีเรียส  ทำได้ทำไม่ได้เป็นอีกเรื่องหนึ่งเพราะเรายังไม่ได้เข้าสอบจริงๆ สิ่งสำคัญ คือ อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ เพราะข้อที่เราทำไม่ได้เปรียบเสมือนเป็นครูของเรา ดังสุภาษิตที่กล่าวว่า “ผิดเป็นครู” และเมื่อทำโจทย์ครบแล้ว เราจะรู้ว่าโจทย์ข้อไหนหรือบทเรียนไหนที่เราทำไม่ได้  ไม่เข้าใจ  ให้เราโน้ตเอาไว้ เพื่อวางแผนเตรียมตัวทบทวน หรือ จัดเวลาเรียน จัดเวลาติวได้ครับ

ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของการทำข้อสอบเก่า  คือ  เราจะทราบขอบเขตเนื้อหาและแนวข้อสอบ ว่ายากง่ายอย่างไรบ้าง พี่พบว่าในบทหนึ่งๆจะมีข้อยากเพียง 1 ข้อจากทั้งหมด 3 ข้อ และในข้อสอบทั้งหมดจะมีข้อยากระดับปราบเทพไม่ให้ได้คะแนนเต็มไม่เกิน  5 ข้อจาก 50 ข้อครับ

ต่อมาจึงเริ่มอ่านทบทวนบทเรียน  โดยเริ่มทบทวนเนื้อหาที่เราชอบก่อน  พร้อมทั้งทำสรุปสูตรหรือโน้ตย่อของตนเองด้วยครับ  ตัวอย่างเช่น พี่ชอบวิชาชีววิทยา สนใจเรื่องระบบต่างๆของร่างกาย  หัวใจ กล้ามเนื้อ สมอง ฯลฯ พี่ก็จะอ่านทบทวนก่อน เพื่อย้ำความเข้าใจเป็นการประกันว่าเราทำข้อสอบบทนี้ได้ 100%  ต่อมาจึงอ่านเนื้อหาของ ม. 6 ครับ เพราะนอกจากจะเป็นการยิงนกนัดเดียวได้นก 2 ตัวแล้ว คือ อ่านเพื่อคะแนนสอบที่โรงเรียนและอ่านเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย พี่ยังพบว่า เนื้อหาของระดับชั้น ม. 6 อาจารย์ผู้ออกข้อสอบนำมาออกข้อสอบมากกว่าระดับชั้นอื่นๆแทบทุกวิชา

สุดท้ายพี่จะกลับไปทำข้อสอบซ้ำอีกครั้ง  เพื่อประเมินว่า เราเข้าใจและทำข้อสอบได้คะแนนเพิ่มขึ้นไหม และหลังจากที่เราเข้าใจขึ้นมีความ มั่นใจขึ้นแล้ว พี่จะทำโจทย์ข้อสอบเก่าชุดใหม่อย่างต่ำอีก 3 ชุด โดยทำข้อสอบเหมือนเข้าสอบจริง  คือ จับเวลาในการทำข้อสอบด้วย  ครับ ทำให้เรารู้ว่า เราทำข้อสอบทันเวลาไหม  เสร็จแล้วลองตรวจคำตอบดูด้วยครับว่าเราทำได้กี่คะแนน ถ้าข้อไหนคิดไม่ได้หรือทำผิดก็เปิดเฉลยทบทวนดูครับ  ส่วนเรื่องผลสอบของเราก็จะไม่เกิน +10% หรือ –10% จากคะแนนที่เคยได้เป็นแน่เลย

และ 2 สัปดาห์ก่อนสอบวิชานั้นๆ พี่จะหยิบข้อสอบที่เคยทำไปแล้วทั้งหมดมาทำซ้ำอีกครั้งครับ และอ่านโน้ตที่เราย่อไว้ เพื่อกันไม่ให้ลืม เพียงเท่านี้น้องๆก็คงได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 80 % แล้วครับ

เทคนิคการทำโจทย์ข้อสอบ
เมื่อน้องได้รับข้อสอบ รีบตรวจข้อสอบว่า ข้อสอบมีความถูกต้องไหม  หลังจากนั้น รีบพลิกข้อสอบหาข้อที่เรามั่นใจว่าเราทำได้ก่อน  หากข้อสอบมีทั้งแบบอัตนัย (เติมคำ) และปรนัย (Choice – ตัวเลือก) พี่แนะนำให้ทำข้อสอบแบบปรนัยก่อนในเรื่องที่เราถนัด แม้ว่าข้อสอบปรนัยจะค่อนข้างยากกว่าข้อสอบแบบอัตนัย แต่ถ้าเราทำข้อนั้นได้ หาคำตอบได้ตรง choice ก็ทำให้เรามีกำลังใจมั่นใจที่จะทำข้ออื่นๆได้ต่อไปครับ

            สิ่งสำคัญ คือ กำลังใจในระหว่างทำข้อสอบ  เพราะเมื่อเรารู้ว่าเราทำข้อสอบได้ เราจะมีกำลังใจมั่นใจขึ้นว่าเราก็ต้องทำข้ออื่นๆได้เช่นกัน แล้วความเพียรพยายามในการอ่านหนังสือที่น้องสะสมไว้ในอดีตจะส่งผลให้ น้องคิดนึกวิธีแก้ปัญหาโจทย์แต่ละข้อได้  อย่าท้อแท้จนหลับขณะสอบ พยายามคิด พยายามทำ พยายามลุย แล้วน้องก็จะแก้ปัญหาหาคำตอบได้ครับ


สุดท้าย ให้น้องนับจำนวนข้อสอบที่เราตอบถูกได้ชัวร์ แล้วคำนวณว่าเราจะได้คะแนนอย่างต่ำที่สุดกี่คะแนน ส่วนข้อที่เหลือควรกลับไปพยายามทำอีกครั้ง โดยพยายามคิด พยายามเขียน วาดรูป ตั้งสมการ ฯลฯ ให้ได้บ้าง  แม้ว่ามันจะยังทำให้น้องไม่ได้ผลลัพธ์ แต่เดี๋ยวอีกสักพักน้องอาจจะนึกวิธีแก้ปัญหาขึ้นมาและได้คำตอบที่ตรงกับตัวเลือก (choice) ก็เป็นได้ แต่หากยังหาคำตอบไม่ได้  น้องพยายามจนถึงที่สุดแล้ว เหลือเวลาอีก 15 นาทีจะหมดเวลาสอบ ให้น้องมองที่ตัวเลือก พยายามตัดตัวเลือกที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ออก เช่น น้องคิดได้แล้วว่า ข้อ ก และข้อ ข ไม่ใช่คำตอบแน่ๆ ให้เลือกคำตอบเป็นข้อ ค หรือ ง แทนครับ น้องก็จะพบว่า โอกาสที่จะตอบถูกยังเป็น 50:50 ครับ อย่างน้อยน้องคงได้คะแนนเพิ่มขึ้นจากคะแนนขั้นต่ำที่ได้คำนวณไว้ครับ

สรุปว่า น้องๆควรทำข้อสอบเก่า 6 – 10 ชุด ชุดละ 3 รอบ จึงจะทำข้อสอบได้คะแนนมากกว่า 80% อย่างแน่นอนครับ

ผู้เขียน
: SmartMathsTutor - กิ๊ก (เพื่อนักเรียนมัธยม)

ท้ายสุดพี่มีข้อคิดมาฝากน้องๆครับว่า มีจุดเริ่มต้น คือ เริ่มเรียนรู้ ก็ย่อมมีจุดสำเร็จ คือ การเป็นคนเก่งเป็นของธรรมดา ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
และ  “ไม่มีคำว่าสาย สำหรับคนที่อยากเก่ง
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

COMMENT เดิม



---------------------------------------------------------



คำคม
ก้าวไปสู่จุดที่สูงขึ้น
ผู้ประสบความสำเร็จจะต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา พวกเขาไม่คิดว่าการเปลี่ยนแปลงหรือการก้าวไปข้างหน้า คือ ความเสี่ยงอันยิ่งใหญ่ของเขา เพราะความเสี่ยงอันใหญ่หลวงที่สุดของพวกเขา คือ การหยุดนิ่งอยู่กับที่
Growing to new heights
Successful entrepreneurs are in motion. They don’t consider change or moving ahead as their greatest risk. Their biggest risk is to stand still.
การหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่ใช่วิถีชีวิตของมนุษย์ คนเราเกิดมาต้องมีการพัฒนา ฝึกฝนตนเองสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เช่น จากคลานได้ ก็เป็นเดินเป็นวิ่งได้ จากเดินและวิ่งได้ ก็มาหัดขี่จักรยาน หัดขับรถ เช่นเดียวกับการมีความรู้ติดตัว จากไม่มีความรู้และประสบการณ์ ก็มาเรียนรู้และศึกษา ถ้าคนในชาติรู้จักพัฒนาตนเองสม่ำเสมอ  ชาติบ้านเมืองก็จะเจริญรุ่งเรือง

กำลังใจในการเรียนและการทำงาน
บินสูงจากพื้นดิน
     คำถาม : เครื่องบินจะเผาผลาญเชื้อเพลิงมากที่สุดเมื่อใด
     คำตอบ : ขณะที่เครื่องบินแล่นบนลานบินเพื่อยกตัวเองขึ้นสู่ท้องฟ้า ซึ่งเป็นเวลาที่เคลื่อนที่ช้าที่สุด ทันทีที่เครื่องบินตั้งลำและทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก็จะมีความเร็วสูงขึ้นในขณะที่ใช้เชื้อเพลิงลดลง ดังนั้น ในช่วงที่เครื่องบินแล่นบนลานก่อนจะขึ้นจึงมีผลกระทบต่อพลังงานมากที่สุด (และแน่นอนถ้าเครื่องบินไม่แล่นบนลานบินก่อนก็จะไม่สามารถทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าได้เช่นกัน)
เปรียบเทียบกับการเรียนและการทำงาน  น้องจะพบว่าช่วงเริ่มต้นของการเรียน เราเหนื่อยและลำบากมาก  นึกถึงสมัยเรียนชั้นประถม  น้องต้องฝึกคัดลายมือเขียนตัวอักษร  ก-ฮ  ให้สวยๆ   ต้องท่องสูตรคูณ แต่พอได้ฝึกฝนบ่อยๆ น้องก็จะชำนาญ   และเมื่อต้องเขียนข้อความก็สามารถเขียนได้สวยงาม รวดเร็ว หรือ เมื่อเจอโจทย์เลขที่ต้องคูณ   น้องก็สามารถคูณได้ทันทีโดยไม่ต้องไล่ท่องสูตรคูณตั้งแต่ต้น
ที่มา : ข้อความบางส่วนจาก ==> http://www.amwayshopping.com/ffe/contentPage?pageKey=amway.ffe.story.tale&contentId=1388&page=27 
คำอธิบายเพิ่มเติม :  ติวเตอร์กิ๊ก

No comments:

Post a Comment